Featured News
Posts List
Posts Slider
Health
-
คะน้า บำรุงสายตา มีสารอาหารสูงและต้านโรคได้
คะน้า อาหารบำรุงสายตา มีสารอาหารสูง
คะน้า ผักคู่ครัวไทยที่ขึ้นชื่อว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพและมีสารอาหารสูง อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีโปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย โดยคะน้าเป็นผักที่หารับประทานได้ทั่วไป นำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู หรืออาจเลือกรับประทานสด ๆ ก็ได้เช่นกันคะน้า มีสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์
คะน้า เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนานาชนิด ซึ่งคะน้าสด 1 ถ้วยจะอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ดังนี้
- วิตามินเค 684 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินเคที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- วิตามินเอ 206 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินเอที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- วิตามินซี 134 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินซีที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- แมงกานีส 26 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแมงกานีสที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- ทองแดง 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณทองแดงที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- วิตามินบี 6 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินบี 6 ที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- แคลเซียม 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- โพแทสเซียม 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- แมกนีเซียม 6 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแมกนีเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
นอกจากนี้ ยังประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ และลดความเสี่ยงการเกิดโรคบางชนิด โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่พบปริมาณมากในคะน้า คือ เควอซิทิน (Quercetin) และแคมป์เฟอรอล (Kaempferol) ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสารเหล่านี้มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านไวรัสได้
คะน้ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน
ผักใบเขียวที่มีสารอาหารสำคัญทางโภชนาการมากมาย จึงมีการกล่าวอ้างคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคะน้าในการช่วยบำรุงและรักษาปัญหาสุขภาพอย่างแพร่หลายด้วย โดยมีการศึกษาสรรพคุณทางยาของคะน้าในแง่มุมต่างๆ ดังนี้
- คะน้ากับการบำรุงสายตา
อายุที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ทว่าสารอาหารบางประเภทในคะน้าอาจช่วยป้องกันและชะลอการเกิดโรคทางสายตาได้ เช่น ลูทีน (Lutein) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) เป็นต้น โดยมีงานวิจัยหนึ่งศึกษาแหล่งอาหารของลูทีนและซีแซนทินในด้านประสิทธิผลต่อสุขภาพตา พบว่ามีสารในตระกูลแคโรทีนอยด์อย่างลูทีนและซีแซนทินเป็นปริมาณมากในผักใบเขียวอย่างคะน้า ผักโขม และบร็อคโคลี่ โดยพบอัตราส่วนของสารดังกล่าวในคะน้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับผักใบเขียวชนิดอื่น ซึ่งสารเหล่านี้อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจกและโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันคุณสมบัติของคะน้าในการบำรุงสายตาให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป
- คะน้ากับการลดระดับคอเลสเตอรอล
ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงเกินไปอาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งและโรคหัวใจได้ เนื่องจากคอเลสเตอรอลจะเกาะตัวกันบนผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบจนอาจส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวกและเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ หลายคนเชื่อว่าคะน้าเป็นผักชนิดหนึ่งที่อาจมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยมีงานวิจัยหนึ่งให้ผู้ป่วยเพศชายที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงจำนวน 32 คน ดื่มน้ำคะน้าปริมาณ 150 มิลลิลิตรเป็นประจำทุกวันติดต่อกันนาน 12 สัปดาห์ พบว่าน้ำคะน้าช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดีต่อร่างกาย (High-Density Lipoprotein: HDL) ได้ 27 เปอร์เซ็นต์ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (Low-Density Lipoprotein: LDL) ได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
ส่วนการทดลองอีกชิ้นหนึ่งพบว่า ผักคะน้านึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการจับกรดน้ำดีในระบบย่อยอาหาร ซึ่งส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง จึงคาดว่าการรับประทานคะน้านึ่งอย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดได้
แม้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสรรพคุณในการลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลของคะน้า แต่งานทดลองเหล่านี้ล้วนเป็นการทดลองขนาดเล็กในหลอดทดลองเท่านั้น จึงจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าถึงประสิทธิผลในด้านนี้เพิ่มเติม และอาจทดลองประสิทธิภาพในคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต
- คะน้ากับการป้องกันมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ภายในเต้านมจนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย แม้โรคนี้จะพบได้มากในเพศหญิงแต่ก็สามารถพบได้ในเพศชายเช่นกัน จึงควรให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพและตรวจเต้านมเป็นประจำ ซึ่งคะน้าอุดมไปด้วยสารประกอบอย่างอินโคล-3-คาร์ฟินอล (Indole-3-Carbinol) และซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) ที่เชื่อว่าอาจมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้ โดยมีการศึกษาชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ซัลโฟราเฟนอันเป็นสารประกอบที่พบในผักตระกูลกะหล่ำปลี เช่น คะน้า บร็อคโคลี่ และกะหล่ำดาว เป็นต้น อาจมีคุณสมบัติต้านมะเร็งและช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมได้ สอดคล้องกับการศึกษาประสิทธิภาพของผักตระกูลกะหล่ำปลีต่อโรคมะเร็งในหลายงานวิจัยที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าสารประกอบอินโคล-3-คาร์ฟินอล และซัลโฟราเฟนในผักตระกูลกะหล่ำปลีมีอิทธิพลต่อตัวรับเอสโตรเจนในเซลล์มะเร็งเต้านม จึงอาจช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้
อย่างไรก็ตาม ยังคงจำเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติในด้านนี้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มเติมต่อไป โดยควรค้นคว้าทั้งด้านประสิทธิผลทางการรักษาป้องกันโรคตลอดจนความปลอดภัยในการบริโภคคะน้าในผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพื่อให้สามารถนำประโยชน์ของคะน้าไปประยุกต์ใช้ในการต้านมะเร็งในอนาคต
ผัก ผลไม้ 10 ชนิด ช่วยบำรุงสายตา
- ผักบุ้ง เป็นผักที่ช่วยบำรุงสายตาได้ดีมาก มีทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างดี นอกจากผักบุ้งจะวิตามินแล้ว ผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือดได้อีกด้วย
- แครอท ประกอบด้วยสารเบต้าแคโรทีน วิตามิน และแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด เบต้าแคโรทีนคือ วิตามินเอ สามารถช่วยในการบำรุงรักษาดวงตาได้ดี วิตามินเอเป็นตัวช่วยให้มีผิวดี อีกทั้งยังสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็งได้
- ผักตำลึง ผักริมรั้วอย่างตำลึงมีเบต้าแคโรทีน สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตาได้อย่างดี
- ผักคะน้า คะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตาได้อีกด้วย
- ฟักทอง สามารถช่วยบำรุงสายตาได้ดี อีกทั้งยังดูแลผิวพรรณ การย่อยอาหาร ตับ ไต สร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่า แว่ว ๆ มาว่า ฟักทองสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ดีเช่นกัน
- มะละกอ ผลไม้หาง่ายตัวนี้ อุดมด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม และเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อรับประทานจะบำรุงผิวพรรณดี ลดริ้วรอยก่อนวัย และบำรุงสายตาได้ดี
- เสาวรส ผลรสไม้เปรี้ยวอมหวานมีวิตามินเอสูงมากๆ ช่วยในการทำงานของจอประสาทตาได้ดีขึ้น อีกทั้งพบว่ามีวิตามินซีมากกว่ามะนาว จึงช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้
- ส้ม ส้มอุดมด้วยวิตามิน ซี เมื่อรับประทานเป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อได้
- เบอร์รี่สีดำ ผลเบอร์รี่มีประโยชน์โดยตรงกับดวงตา อุดมด้วยสารแอนโทไซยานิน ช่วยปกป้อง ชลอการเกิดต้อ และ ชลอการเกิดจอประสาทตาเสื่อม
- มะมุ่วงสุก อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส ใยอาหาร นอกเหนือจากสามารถบำรุงสายตาแล้ว ยังบำรุงเหงือกและฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดสิวและริ้วรอยก่อนวัยได้เป็นอย่างดี
7 อาหารบำรุงสายตา แก้อาการเมื่อยล้าจากจอมือถือ
1. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เป็นกลุ่มผลไม้รสเปรี้ยวฉ่ำอมหวาน เป็นแหล่งของวิตามินซีมหาศาล เช่น โกจิเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่(ลูกหม่อนของไทย) เป็นต้น
มีสารสำคัญอย่างสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงสายตาโดยตรง ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตาและลดการเกิดต้อกระจกได้
2. ผักใบเขียว
ผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง ตำลึง กวางตุ้ง คะน้า ฯลฯ ผักเหล่านี้ล้วนอุดมไปด้วยสารสำคัญอย่าง ลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างหนึ่ง จากการศึกษาพบว่าช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาและการเกิดต้อกระจกได้
3. ไข่
ไข่แดงเป็นแหล่งของสารอาหารลูทีน และซีแซนทีน รวมไปถึง ซิงค์ ด้วย ทั้งหมดนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเสื่อมของจอประสาทตา ทำให้เซลล์ต่างๆ ในดวงตาแข็งแรงอยู่เสมอ
4. แครอท
เป็นผักหัวใต้ดินที่มีคุณประโยชน์อันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ แครอท ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสายตาชั้นเยี่ยม อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และลูทีน ช่วยดูแลสุขภาพดวงตาของคุณให้สดใสแข็งแรงอยู่เสมอ ช่วยบำรุงกระจกตา ป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลายจากแสงแดดและรังสีอันตรายต่างๆ ช่วยส่งเสริมการทำงานของจอประสาทตา ไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร
5. อะโวคาโด
มาต่อกันที่ผลไม้รสนุ่มนวลอย่าง อะโวคาโด เจ้านี้มีประโยชน์ในการบำรุงสายตามากๆ เลย เพราะมีสารอาหารจำเป็น เช่น ลูทีน เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 6 และวิตามินซี โดยจะช่วยบำรุงสายตา ป้องกันอาการตาฝ้าฟาง ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพดวงตาที่ร่วงโรยไปตามวัย
6. อัลมอนด์
ในอัลมอนด์อุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งผลการวิจัยพบว่าช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา แค่ทานวันละหนึ่งฝ่ามือ ก็ได้รับวิตามินอีถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่แนะนำต่อวันแล้ว
7. ปลาที่มีไขมันสูง
จากการศึกษาทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ พบว่า ปลาที่มีไขมันประเภทดีอยู่จำนวนมาก เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาแอนโชวี่ ปลาเทราต์ ปลาสวาย ฯลฯ ปลาพวกนี้อุดมไปด้วยกรดไขมัน DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้มากในเรตินาของดวงตา ดังนั้นมันจึงตรงเข้าไปซ่อมแซมดวงตาของเราให้กลับมาสดใส มีน้ำหล่อลื่นเพียงพอ และยังช่วยห่างไกลจากโรคตาแห้งอีกด้วย
จะเห็นว่านอกจากคะน้า ยังมีผัก ผลไม้ หลายชนิดที่กล่าวไว้ข้างต้น หาได้ตามรั้ว ตามสวน ที่บ้านของเรา หรือบางชนิดอาจจะต้องซื้อ แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างไหนปลูกได้ก็ปลูกกันไป ตามความเหมาะสม เพราะทุกอย่างไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อสายตา แต่ยังให้คุณค่าทางอาหารต่อร่างกายอีกด้วย
ที่มา
- https://www.pobpad.com/
- https://www.mitrpholmodernfarm.com/
- https://www.thairath.co.th/lifestyle/
- https://www.xn--l3ca8db.com/
- https://www.sanook.com/
ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ trcbet365.com
สนับสนุนโดย ufabet369
Economy
-
แกะงบ 7-Eleven ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่
แกะงบ 7-Eleven ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ คนเข้าร้านเพิ่มขึ้นแต่ยอดขายต่อบิลลดลง
7-Eleven นับเป็นร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ชิดกับผู้คน ด้วยสาขาที่มากถึง 1.3 หมื่นสาขาทั่วประเทศ ทำให้ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่มักจะสะท้อนกับกำลังซื้อรวมถึงทิศทางของเศรษฐกิจไทยได้ ทั้งนี้จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า 7-Eleven มีการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้ยอดผู้ใช้บริการต่อสาขาเพิ่มขึ้น ส่วนยอดขายต่อบิลปรับตัวลดลงเล็กน้อย
โดยในรายงานงบการเงินไตรมาสที่ 3 ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL รายงานว่า ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 90,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.6 % จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสนี้มียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน เท่ากับ 76,612 บาท และยอดขายเฉลี่ยของร้าน สาขาเดิมเพิ่มขึ้น 22.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณ 82 บาท ในขณะที่จำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 928 คน
ทั้งนี้ลูกค้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจากการยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 รวมถึงมีมาตรการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนการฟื้นตัวของธุรกิจร้านสะดวกซื้อประกอบกับรายได้จากการขายสินค้าส่วนเพิ่มผ่านกลยุทธ์ O2O อาทิ 7-Eleven Delivery, All Online และ 24Shopping ซึ่งยังคงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในภาวะปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยมีสัดส่วนสูงกว่า 10% ของรายได้จากการขายสินค้ารวม ในไตรมาส 3 ปี 2565 สัดส่วนของรายได้จากการขาย 74.1% มาจากสินค้ากลุ่มอาหาร และ 25.9% มาจากสินค้าอุปโภค
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากการขายสินค้ากลุ่มอาหารเพิ่มขึ้น จากการเติบโตของยอดขายในทุกกลุ่มสินค้า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ไตรมาส 3 ปี 2565 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีกำไรขั้นต้นจำนวน 25,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.6% จากไตรมาสเดียวกัน ของปีก่อน
โดยมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น 27.6% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 ที่อัตราส่วน 27.4% สาเหตุหลักมาจากการปรับกลยุทธ์ด้านสินค้าโดยยังคงเน้นเรื่องความต้องการและพฤติกรรมในการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงให้ความสำคัญต่อการบริหารอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้า เพื่อให้สามารถดึงดูดลูกค้าและสามารถสร้างยอดขายและกำไรส่วนเพิ่มต่อธุรกิจภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath.co.th
สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : trcbet365.com