Featured News
Posts List
Posts Slider
Health
-
คะน้า บำรุงสายตา มีสารอาหารสูงและต้านโรคได้
คะน้า อาหารบำรุงสายตา มีสารอาหารสูง
คะน้า ผักคู่ครัวไทยที่ขึ้นชื่อว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพและมีสารอาหารสูง อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีโปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย โดยคะน้าเป็นผักที่หารับประทานได้ทั่วไป นำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู หรืออาจเลือกรับประทานสด ๆ ก็ได้เช่นกันคะน้า มีสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์
คะน้า เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนานาชนิด ซึ่งคะน้าสด 1 ถ้วยจะอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ดังนี้
- วิตามินเค 684 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินเคที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- วิตามินเอ 206 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินเอที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- วิตามินซี 134 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินซีที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- แมงกานีส 26 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแมงกานีสที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- ทองแดง 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณทองแดงที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- วิตามินบี 6 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินบี 6 ที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- แคลเซียม 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- โพแทสเซียม 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
- แมกนีเซียม 6 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแมกนีเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
นอกจากนี้ ยังประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ และลดความเสี่ยงการเกิดโรคบางชนิด โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่พบปริมาณมากในคะน้า คือ เควอซิทิน (Quercetin) และแคมป์เฟอรอล (Kaempferol) ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสารเหล่านี้มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านไวรัสได้
คะน้ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน
ผักใบเขียวที่มีสารอาหารสำคัญทางโภชนาการมากมาย จึงมีการกล่าวอ้างคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคะน้าในการช่วยบำรุงและรักษาปัญหาสุขภาพอย่างแพร่หลายด้วย โดยมีการศึกษาสรรพคุณทางยาของคะน้าในแง่มุมต่างๆ ดังนี้
- คะน้ากับการบำรุงสายตา
อายุที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ทว่าสารอาหารบางประเภทในคะน้าอาจช่วยป้องกันและชะลอการเกิดโรคทางสายตาได้ เช่น ลูทีน (Lutein) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) เป็นต้น โดยมีงานวิจัยหนึ่งศึกษาแหล่งอาหารของลูทีนและซีแซนทินในด้านประสิทธิผลต่อสุขภาพตา พบว่ามีสารในตระกูลแคโรทีนอยด์อย่างลูทีนและซีแซนทินเป็นปริมาณมากในผักใบเขียวอย่างคะน้า ผักโขม และบร็อคโคลี่ โดยพบอัตราส่วนของสารดังกล่าวในคะน้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับผักใบเขียวชนิดอื่น ซึ่งสารเหล่านี้อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจกและโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันคุณสมบัติของคะน้าในการบำรุงสายตาให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป
- คะน้ากับการลดระดับคอเลสเตอรอล
ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงเกินไปอาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งและโรคหัวใจได้ เนื่องจากคอเลสเตอรอลจะเกาะตัวกันบนผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบจนอาจส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวกและเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ หลายคนเชื่อว่าคะน้าเป็นผักชนิดหนึ่งที่อาจมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยมีงานวิจัยหนึ่งให้ผู้ป่วยเพศชายที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงจำนวน 32 คน ดื่มน้ำคะน้าปริมาณ 150 มิลลิลิตรเป็นประจำทุกวันติดต่อกันนาน 12 สัปดาห์ พบว่าน้ำคะน้าช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดีต่อร่างกาย (High-Density Lipoprotein: HDL) ได้ 27 เปอร์เซ็นต์ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (Low-Density Lipoprotein: LDL) ได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
ส่วนการทดลองอีกชิ้นหนึ่งพบว่า ผักคะน้านึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการจับกรดน้ำดีในระบบย่อยอาหาร ซึ่งส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง จึงคาดว่าการรับประทานคะน้านึ่งอย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดได้
แม้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสรรพคุณในการลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลของคะน้า แต่งานทดลองเหล่านี้ล้วนเป็นการทดลองขนาดเล็กในหลอดทดลองเท่านั้น จึงจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าถึงประสิทธิผลในด้านนี้เพิ่มเติม และอาจทดลองประสิทธิภาพในคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต
- คะน้ากับการป้องกันมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ภายในเต้านมจนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย แม้โรคนี้จะพบได้มากในเพศหญิงแต่ก็สามารถพบได้ในเพศชายเช่นกัน จึงควรให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพและตรวจเต้านมเป็นประจำ ซึ่งคะน้าอุดมไปด้วยสารประกอบอย่างอินโคล-3-คาร์ฟินอล (Indole-3-Carbinol) และซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) ที่เชื่อว่าอาจมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้ โดยมีการศึกษาชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ซัลโฟราเฟนอันเป็นสารประกอบที่พบในผักตระกูลกะหล่ำปลี เช่น คะน้า บร็อคโคลี่ และกะหล่ำดาว เป็นต้น อาจมีคุณสมบัติต้านมะเร็งและช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมได้ สอดคล้องกับการศึกษาประสิทธิภาพของผักตระกูลกะหล่ำปลีต่อโรคมะเร็งในหลายงานวิจัยที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าสารประกอบอินโคล-3-คาร์ฟินอล และซัลโฟราเฟนในผักตระกูลกะหล่ำปลีมีอิทธิพลต่อตัวรับเอสโตรเจนในเซลล์มะเร็งเต้านม จึงอาจช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้
อย่างไรก็ตาม ยังคงจำเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติในด้านนี้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มเติมต่อไป โดยควรค้นคว้าทั้งด้านประสิทธิผลทางการรักษาป้องกันโรคตลอดจนความปลอดภัยในการบริโภคคะน้าในผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพื่อให้สามารถนำประโยชน์ของคะน้าไปประยุกต์ใช้ในการต้านมะเร็งในอนาคต
ผัก ผลไม้ 10 ชนิด ช่วยบำรุงสายตา
- ผักบุ้ง เป็นผักที่ช่วยบำรุงสายตาได้ดีมาก มีทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างดี นอกจากผักบุ้งจะวิตามินแล้ว ผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือดได้อีกด้วย
- แครอท ประกอบด้วยสารเบต้าแคโรทีน วิตามิน และแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด เบต้าแคโรทีนคือ วิตามินเอ สามารถช่วยในการบำรุงรักษาดวงตาได้ดี วิตามินเอเป็นตัวช่วยให้มีผิวดี อีกทั้งยังสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็งได้
- ผักตำลึง ผักริมรั้วอย่างตำลึงมีเบต้าแคโรทีน สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตาได้อย่างดี
- ผักคะน้า คะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตาได้อีกด้วย
- ฟักทอง สามารถช่วยบำรุงสายตาได้ดี อีกทั้งยังดูแลผิวพรรณ การย่อยอาหาร ตับ ไต สร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่า แว่ว ๆ มาว่า ฟักทองสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ดีเช่นกัน
- มะละกอ ผลไม้หาง่ายตัวนี้ อุดมด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม และเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อรับประทานจะบำรุงผิวพรรณดี ลดริ้วรอยก่อนวัย และบำรุงสายตาได้ดี
- เสาวรส ผลรสไม้เปรี้ยวอมหวานมีวิตามินเอสูงมากๆ ช่วยในการทำงานของจอประสาทตาได้ดีขึ้น อีกทั้งพบว่ามีวิตามินซีมากกว่ามะนาว จึงช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้
- ส้ม ส้มอุดมด้วยวิตามิน ซี เมื่อรับประทานเป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อได้
- เบอร์รี่สีดำ ผลเบอร์รี่มีประโยชน์โดยตรงกับดวงตา อุดมด้วยสารแอนโทไซยานิน ช่วยปกป้อง ชลอการเกิดต้อ และ ชลอการเกิดจอประสาทตาเสื่อม
- มะมุ่วงสุก อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส ใยอาหาร นอกเหนือจากสามารถบำรุงสายตาแล้ว ยังบำรุงเหงือกและฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดสิวและริ้วรอยก่อนวัยได้เป็นอย่างดี
7 อาหารบำรุงสายตา แก้อาการเมื่อยล้าจากจอมือถือ
1. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เป็นกลุ่มผลไม้รสเปรี้ยวฉ่ำอมหวาน เป็นแหล่งของวิตามินซีมหาศาล เช่น โกจิเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่(ลูกหม่อนของไทย) เป็นต้น
มีสารสำคัญอย่างสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงสายตาโดยตรง ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตาและลดการเกิดต้อกระจกได้
2. ผักใบเขียว
ผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง ตำลึง กวางตุ้ง คะน้า ฯลฯ ผักเหล่านี้ล้วนอุดมไปด้วยสารสำคัญอย่าง ลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างหนึ่ง จากการศึกษาพบว่าช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาและการเกิดต้อกระจกได้
3. ไข่
ไข่แดงเป็นแหล่งของสารอาหารลูทีน และซีแซนทีน รวมไปถึง ซิงค์ ด้วย ทั้งหมดนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเสื่อมของจอประสาทตา ทำให้เซลล์ต่างๆ ในดวงตาแข็งแรงอยู่เสมอ
4. แครอท
เป็นผักหัวใต้ดินที่มีคุณประโยชน์อันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ แครอท ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสายตาชั้นเยี่ยม อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และลูทีน ช่วยดูแลสุขภาพดวงตาของคุณให้สดใสแข็งแรงอยู่เสมอ ช่วยบำรุงกระจกตา ป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลายจากแสงแดดและรังสีอันตรายต่างๆ ช่วยส่งเสริมการทำงานของจอประสาทตา ไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร
5. อะโวคาโด
มาต่อกันที่ผลไม้รสนุ่มนวลอย่าง อะโวคาโด เจ้านี้มีประโยชน์ในการบำรุงสายตามากๆ เลย เพราะมีสารอาหารจำเป็น เช่น ลูทีน เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 6 และวิตามินซี โดยจะช่วยบำรุงสายตา ป้องกันอาการตาฝ้าฟาง ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพดวงตาที่ร่วงโรยไปตามวัย
6. อัลมอนด์
ในอัลมอนด์อุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งผลการวิจัยพบว่าช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา แค่ทานวันละหนึ่งฝ่ามือ ก็ได้รับวิตามินอีถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่แนะนำต่อวันแล้ว
7. ปลาที่มีไขมันสูง
จากการศึกษาทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ พบว่า ปลาที่มีไขมันประเภทดีอยู่จำนวนมาก เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาแอนโชวี่ ปลาเทราต์ ปลาสวาย ฯลฯ ปลาพวกนี้อุดมไปด้วยกรดไขมัน DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้มากในเรตินาของดวงตา ดังนั้นมันจึงตรงเข้าไปซ่อมแซมดวงตาของเราให้กลับมาสดใส มีน้ำหล่อลื่นเพียงพอ และยังช่วยห่างไกลจากโรคตาแห้งอีกด้วย
จะเห็นว่านอกจากคะน้า ยังมีผัก ผลไม้ หลายชนิดที่กล่าวไว้ข้างต้น หาได้ตามรั้ว ตามสวน ที่บ้านของเรา หรือบางชนิดอาจจะต้องซื้อ แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างไหนปลูกได้ก็ปลูกกันไป ตามความเหมาะสม เพราะทุกอย่างไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อสายตา แต่ยังให้คุณค่าทางอาหารต่อร่างกายอีกด้วย
ที่มา
- https://www.pobpad.com/
- https://www.mitrpholmodernfarm.com/
- https://www.thairath.co.th/lifestyle/
- https://www.xn--l3ca8db.com/
- https://www.sanook.com/
ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ trcbet365.com
สนับสนุนโดย ufabet369
Economy
-
ข้อดี-ข้อเสีย รีไฟแนนซ์ ต้องรู้อะไรก่อนตัดสินใจ
รีไฟแนนซ์ (Refinance) คือการกู้หนี้ก้อนใหม่กับธนาคารรายใหม่มาโปะยอดสินเชื่อบ้านก้อนเดิม เพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หลังหมดโปร 3 ปีแรก แต่ก่อนอื่นอยากพาทุกคนมาดูว่ารีไฟแนนซ์คืออะไร และมันมีข้อดีและข้อเสียยังไงก่อนตัดสินใจไปยื่นเรื่องกับธนาคาร เพราะหนี้สินเชื่อบ้านเป็นหนี้ก้อนใหญ่และผูกมัดระยะยาว ถ้าไม่พิจารณาอย่างรอบคอบ นอกจากเจ็บใจแล้วยังต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นอีกต่างหาก
“ รีไฟแนนซ์ ” (Refinance) คืออะไร ?
เชื่อว่าคำนี้คงได้เห็นผ่านตากันบ่อย ๆ ทั้งจากเว็บไซต์อสังหาฯ เจ้าหน้าที่สินเชื่อ หรือแม้กระทั่งเซลส์ประจำโครงการที่แนะนำให้ลูกค้าติดต่อธนาคาร หลังผ่อนจนครบ 3 ปี เพราะการรีไฟแนนซ์เหมือนการ “รีสตาร์ท” ดอกเบี้ย โดยการยื่นกู้ “หนี้ใหม่” จาก “ธนาคารเจ้าใหม่” มาใช้ “หนี้เก่า” กับ “ธนาคารเดิม” แล้วจากนั้นค่อยผ่อนหนี้ก้อนใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ต่างจาก “รีเทนชั่น” ที่เป็นหนี้ก้อนเดิมกับเจ้าหนี้รายเดิมเพียงแต่มีการเจรจาขอปรับลดดอกเบี้ยเท่านั้น
ถึงแม้ดอกเบี้ยจากการรีไฟแนนซ์อาจจะไม่ถูกเท่าตอนยื่นกู้ครั้งแรกที่มี “ดอกเบี้ยโปรโมชัน” เฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ประมาณปีละ 2.5-2.9% แต่หลายคนก็มองว่าดีกว่าต้องเสียแพง ๆ ซึ่งปีที่ 4 เป็นต้นไป ธนาคารจะคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ซึ่งจะมีอยู่ 2 แบบคือ MRR และ MLR มีอัตราดอกเบี้ย 6.025-8.125% ต่อปี ตามข้อเสนอแต่ละธนาคารและนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้น
ข้อดีของการ “ รีไฟแนนซ์ ”
อย่างที่บอกว่าการรีไฟแนนซ์คือการรีสตาร์ท “ดอกเบี้ยให้ถูกลง” นั่นหมายความว่าค่างวดผ่อนที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนย่อมลดลงด้วย เช่น
- ขอยื่นกู้สินเชื่อซื้อบ้านวงเงิน 2 ล้านบาทกับธนาคารแห่งหนึ่งเป็นเวลา 30 ปี หรือ 360 งวด
- โดยผ่อนงวดละ 9,000 บาท และได้ดอกเบี้ย 3 ปีแรกเฉลี่ย 3.3% ปีต่อไป MRR-0%
- หากในปีที่สี่ MRR ขณะนั้นอยู่ที่ 7.12% ก็จะเจอดอกเบี้ย 5.12%
ซึ่งสูตรการคำนวณดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละงวดคือ
ดอกเบี้ยต่องวด = เงินต้นที่ยกมา × อัตราดอกเบี้ย% × จำนวนวันของเดือนนั้น/จำนวนวันของปีนั้น
- ถ้างวดแรกมี 30 วัน ต้องจ่ายดอกเบี้ย (2,000,000 x 3% x 30) ÷ 365 = 5,424.66 บาท
- เมื่อดอกเบี้ย+เงินต้น จะเป็น 2,005,424.66 บาท
- แต่ผ่อนไหวแค่เดือนละ 9,000 บาท ในงวดแรกจึงชำระเงินต้นไป 9,000-5,424.66 = 3,575.34 บาท
- เดือนต่อไปจะเหลือเงินต้น 2,000,000 – 3,575.34 = 1,996,424.66 บาท
- ส่วนงวดต่อไปจะต้องจ่ายดอกเบี้ย (1,996,424.66 x 3% x 31) ÷ 365 = 5,595.46 บาท
- เท่ากับว่าจากเงิน 9,000 บาท จะชำระเป็นเงินต้น 3,54 บาท ในเดือนต่อไปจะเหลือเงินต้น 1,993,020.12 บาท
การคำนวณ Retention
ถ้าหลัง 36 งวด เข้าสู่ปีที่ 4 ทั้งผ่อนทั้งโปะจนเหลือเงินต้น 1,700,000 บาท และยังผ่อนต่อกับธนาคารเดิม
MRR-2.0% และได้ดอกเบี้ย 5.12% (1,700,000 x 5.12% x 30) ÷ 365 = 7,153.97 บาท
แต่ยังจ่ายงวดละ 9,000 บาทเท่าเดิม ก็จะจ่ายเงินต้นได้แค่เดือนละ 1,846.97 บา
แสดงว่าเดือนต่อไปเงินต้นจะเหลือ 1,700,000 – 1,846.97 = 1,698,153.03 บาท
การคำนวณ Refinance
ถ้าในปีที่ 4 ไปยื่นขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ก็จะได้ “ดอกเบี้ยโปรโมชัน” อีกรอบ เช่น ดอกเบี้ย 3 ปีแรกเฉลี่ย 3.6% ทำให้ต้องจ่าย “ค่าดอกเบี้ย” ถูกกว่าธนาคารเดิมแน่นอน เช่น
ขอกู้ธนาคารใหม่ในวงเงิน 1,700,000 บาท งวดแรกของสัญญาใหม่จะเสียค่าดอกเบี้ย (1,700,000 x 3.6% x 30) ÷ 365 = 5,030.14 บาท
ถ้าจ่ายงวดละ 9,000 บาทเท่ากัน เดือนนี้ก็จะชำระเงินต้นไป 3,969.86 บาท
เดือนต่อไปเงินต้นจะเหลือ 1,700,000 – 3,969.86 = 1,696,030.14 บาท
ซึ่งจะเหลือเงินต้นน้อยกว่ากู้กับธนาคารเดิม
ข้อเสียของการ “รีไฟแนนซ์”
เมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย จึงอยากเตือนก่อนจะตัดสินใจยื่นรีไฟแนนซ์ว่าควรจะคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้รอบคอบ เพราะนอกจากความยุ่งยากในการเตรียมเอกสารและต้องเสียเวลาเดินเรื่องกับธนาคารใหม่แล้ว ยังต้องเจอกับ “ค่าธรรมเนียม” คล้ายกับการซื้อบ้านใหม่อีกรอบด้วย
ค่าเบี้ยปรับการไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด
0-3% ของ “ยอดหนี้คงเหลือ” กรณีใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว หรือ 0-3% ของ “วงเงินกู้เดิม” กรณีใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ ซึ่งธนาคารจะกำหนดระยะเวลา 3-5 ปีนับจากวันทำสัญญา เช่น ยื่นกู้ 2 ล้านบาท เป็นเวลา 30 ปี โดยใช้ดอกเบี้ยลอยตัวแบบ MRR ถ้าผ่อนไปแล้ว 2 ปี จนเหลือเงินต้น 1,800,000 บาท ต้องเสียค่าปรับ 1,800,000 x 3% = 54,000 บาท
หรือถ้าใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ ธนาคารจะคิดค่าปรับจากวงเงินกู้เดิมที่ทำสัญญาไว้ ซึ่งจะต้องจ่าย 3,000,000 x 3% = 90,000 บาท ฉะนั้น ถ้าคำนวณดูแล้วดอกเบี้ยไม่แพงเกินไปนักก็อย่าเพิ่งรีบยื่นรีไฟแนนซ์ก่อนครบกำหนดตามสัญญาจะดีกว่า
ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้
0-1% ของวงเงินกู้ใหม่ ซึ่งบางธนาคารก็ใจดีไม่คิดค่าธรรมเนียมในส่วนนี้
ค่าประเมินหลักทรัพย์
0-0.5% ของราคาประเมินสินทรัพย์ ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 5,000 บาท หรืออาจจะฟรีค่าประเมินหลักทรัพย์ก็ได้
ค่าประกันอัคคีภัย
กฎหมาย “บังคับ” ว่าต้องจ่ายกรมธรรม์เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ซึ่งเบี้ยประกันจะขึ้นอยู่กับแต่ละกรมธรรม์ โดยควรเลือกวงเงินคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 70% หรือราคาบ้าน บ้านราคา 3 ล้านบาทของควรต้องมีวงเงินคุ้มครองประมาณ 2.1 ล้านบาท หรือเบี้ยประกันราว ๆ 2,500-3,000 บาทต่อปี
ค่าจดจำนอง 1% และค่าอากร 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่
จากตัวอย่างเดิม ถ้าผ่อนบ้านไปแล้ว 3 ปี จนเหลือเงินต้น 1,700,000 บาท แล้วต้องการยื่นรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ ก็ไม่ต้องเสียค่าเบี้ยปรับการไถ่ถอนจำนองก่อนกำหนด และธนาคารใจดีไม่คิดค่าธรรมการยื่นกู้ แต่ยังต้องเสียค่าประเมินหลักทรัพย์ 5,000 บาท ค่าประกันอัคคีภัยที่ต้องเสียทุกปีอยู่แล้ว 3,000 บาท ค่าจดจำนอง 1,700,000 x 1% = 17,000 บาท และค่าอากร 1,700,000 x 0.05% = 850 บาท รวมทั้งหมด 25,850 บาท
ควรรีไฟแนนซ์ดีไหม ?
คราวนี้เรามาลองคำนวณกันดูจากกรณีเดิมที่ยังเหลือเงินต้น 1,700,000 บาทว่า ระหว่างยอมผ่อนต่อกับธนาคารเดิมเป็นเวลา 3 ปี กับยื่นขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่จนครบ 3 ปี ทางเลือกไหนจะคุ้มกว่ากัน?
ผ่อนต่อ ในงวดที่ 37-72 หรือปีที่ 4-7 ด้วยอัตราดอกเบี้ย MRR-2.0% เหลือดอกเบี้ย 5.12% ต่อปี เมื่อคำนวณแล้วภายในเวลา 3 ปีจะต้องเสียดอกเบี้ยทั้งหมด 256,750.63 บาท และมีเงินต้นคงเหลือ 1,632,750.65 บาท หรือใช้หนี้ไปแล้ว 19% ของวงเงินกู้ 2 ล้านบาท
รีไฟแนนซ์ งวดที่ 37-72 หรือปีที่ 4-7 เช่นเดียวกัน แต่เริ่มต้นผ่อนงวดที่ 1 กับธนาคารใหม่ในอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีคือ 3.6% ซึ่งเมื่อครบ 3 ปีจะเสียดอกเบี้ยรวม 176,234.68 บาท รวมกับค่าธรรมเนียมในการรีไฟแนนซ์อีก 25,850 บาท รวมทั้งหมด 202,084.68 บาท และมีเงินต้นคงเหลือ 1,552,234.68 บาท หรือใช้หนี้ไปแล้ว 23% ของวงเงินกู้เดิม
กรณีนี้ถ้ายังผ่อนต่อกับธนาคารเดิมก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นอย่างชัดเจน แถมจ่ายเงินต้นได้น้อย หนี้ก็ยิ่งหมดช้าลงและต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงไปเรื่อย ๆ ขณะที่การรีไฟแนนซ์ทำให้เราจ่ายดอกเบี้ยถูกลง ก็ยิ่งมีเงินเหลือไปโปะเงินต้น ลดหนี้ลดดอกลงไปเรื่อย ๆ เท่ากับช่วย “ลดเวลา” การเป็นหนี้ของเราให้สั้นกว่าเดิม
ซึ่งมองว่าการรีไฟแนนซ์ควรทำเมื่อผ่อนกับธนาคารเดิมครบ 3 ปี จะได้ไม่ต้องเสียค่าปรับการไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด ซึ่งจากตัวอย่างที่คำนวณไว้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้มากกว่าค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ต้องเสียจากการรีไฟแนนซ์เสียอีก หรือถ้าใครคำนวณแล้วว่าดอกเบี้ยของธนาคารเดิมมันแพง ๆ จริง ๆ ก็คงต้องยอมเสียค่าปรับส่วนนั้นเพื่อกู้กับธนาคารใหม่
ถึงแม้ว่าพอคำนวณออกมาแล้วดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์จะถูกกว่า แต่อย่าลืมว่าข้อเสนออัตราดอกเบี้ย MRR หรือ MLR นั้นเป็นแบบลอยตัว ปรับตัวเลขขึ้น-ลงได้ตลอดขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงินในขณะนั้น ซึ่งอาจต้องเผื่อใจไว้สักนิดหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันด้วย
ว่าทางที่ดีลองถามธนาคารเดิมก่อนว่าถ้ารีเทนชั่นแล้วจะเหลือดอกเบี้ยเท่าไหร่ แล้วค่อยนำมาคำนวณเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ จะได้ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา
ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
พฤกษศาสตร์ ความเข้าใจ ความสำคัญ
รู้ก่อนสาย เมื่อเป็นความดันโลหิตสูง ต้องดูแลตัวเองอย่างไร
NGG JEWELLERY แตกไลน์แบรนด์ Zoullink
โรคคลั่งผอมกับวัยรุ่น
ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://trcbet365.com/
สนับสนุนโดย ufabet369
ที่มา www.moneybuffalo.in.th